1.ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมจาวา 2 โปรแกรม
1.โปรแกรมบวกค่าที่อยู่ระหว่าง 1-100 ที่หาร 12 ลงตัว
class Ja_janjira3 //ชื่อคลาสJa_janjira3
{
   public static void main(String args[])//แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
{
      int a=0;//ประกาศตัวแปร a ชนิดตัวเลขมีค่าเท่ากับ0
      int b=0;//ประกาศตัวแปร b ชนิดตัวเลขมีค่าเท่ากับ0
      int c=0;//ประกาศตัวแปร c ชนิดตัวเลขมีค่าเท่ากับ0
      String number=””;//ประกาศตัวแปรnumber ชนิดตัวอักษรค่าเท่ากับ” “
      for(int i=1;i<=100;i++)//คำสั่งวนรอบ กำหนด i เท่ากับ1 ;ให้ i น้อยกว่าหรือเท่ากับ100;ให้ i บวกเพิ่มทีละ1
{
         if((i % 12) == 0) //เงื่อนไข( กำหนดให้ iหาร12 มีค่าเท่ากับ0)
{
            b = c; //ให้bเท่ากับc
            a+=i; //ให้aเท่ากับi
            c++;//ให้cบวกเพิ่มทีละ1
            number+=i+”,”; //ให้numberเท่ากับ i บวก”,”
            System.out.println(i+” + “+b+” = “+a);//แสดงค่า i บวกด้วยค่า b เท่ากับค่า a
         }
      }
      System.out.println(“\r\n”+number+” have “+c+” number\n\ra = “+a); //แสดงค่า r หารด้วยค่าnบวกnumber ตามด้วยตัวแปรhave ต่อด้วยcบวกnumberหารnหารraเท่ากับ a
   }
}

2.โปรแกรมรับค่าอายุ หาปีเกิดเป็น ค.ศ.
import java.io.*; //แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
class Ja_janjira4 //ชื่อคลาสJa_janjira4
{
public static void main( String [] args)throws IOException //แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
{
 BufferedReader stdin = new BufferedReader (new InputStreamReader(System.in)); //แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
        int mul=1; //กำหนดตัวแปร mul ชนิดตัวเลข มีค่าเท่ากับ1    
        int check=0;//กำหนดตัวแปร check ชนิดตัวเลข มีค่าเท่ากับ0
        int a; //กำหนดตัวแปร a ชนิดตัวเลข
        String  i; //กำหนดตัวแปร i ชนิดตัวอักษร
        String b; //กำหนดตัวแปร b ชนิดตัวอักษร
do //เริ่มการวนซ้ำ
 {      
       System.out.println(” “); //แสดง ” “
       System.out.print (“Please Enter  Year  Age : ” ); //แสดง”Please Enter  Year  Age : ”
   i=stdin.readLine(); //กำหนดตัวแปร i มีค่าเท่ากับค่าที่รับมา
      check = Integer.parseInt(i); //ให้ค่า i ที่รับมาเป็นชนิดตัวอักษรเท่ากับค่าcheckชนิดตัวเลข
         mul  = 2011 – check; //กำหนดให้ mul เท่ากับ 2011 ลบกับ check
                
      System.out.print (“Birth Year: ” + mul ); //แสดงค่า”Birth Year: ” บวกด้วนค่า mul
      System.out.println(” “); //แสดง ” “
      System.out.print ( “Do you want to Continue. If say yes  Press 1 : ”  );//แสดง”Do you want to Continue. If say yes  Press 1 : “
   b=stdin.readLine(); //กำหนดตัวแปร b มีค่าเท่ากับค่าที่รับมา
   a=Integer.parseInt(b); //ให้ค่า b ที่รับมาเป็นชนิดตัวอักษรเท่ากับค่าaชนิดตัวเลข
}
while ( a == 1);  //จบการวนซ้ำ (กำหนดให้aมีค่าเท่ากันกับ 1
}
}

2.การใช้คำสั่ง System.out.println ใช้อย่างไรยกตัวอย่าง

การแสดงผลด้วยเมธอด System.out.println() และ System.out.print()

การแสดงผลข้อมูลที่ง่ายที่สุดในการเขียนโปรแกรมภาษา Java คุณสามารถใช้เมธอด System.out.println() และเมธอด System.out.print() เพื่อแสดงข้อความ ตัวเลข และค่าอื่นได้ สิ่งที่แตกต่างกันคือเมธอด System.out.println() จะขึ้นบรรทัดใหม่ด้วย มาดูตัวอย่างเพิ่มเติม

publicclassOutput{
publicstaticvoid main (String[] atgs){

System.out.print("MateoCode");
System.out.println(" Tutorials");

int number =10;
System.out.println("Number is "+ number);

float f =43.12f;
System.out.println("Floating number is "+ f);

boolean a =true;
System.out.println(a);
}
}

ในโปรแกรมเป็นการแสดงผลโดยการใช้เมธอดทั้งสองในการแสดงข้อมูลประเภทต่างๆ คุณจะเห็นว่าหลังจากแสดงคำว่า "MateoCode" โปรแกรมไม่ขึ้นบรรทัดใหม่เพราะว่าการทำงานของเมธอด System.out.print() ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ดังนี้

MateoCode Tutorials
Number is 10
Floating number is 43.12
true
 3.การใช้คำสั่ง if ของคำสั่งจาวา

ใน

การใช้ if, if else และ if else if ในภาษาจาวาโดยทั่วไป เป็นการใช้เพื่อให้โปรแกรมตัดสินใจ เหมือนกับ if-then-else ใน Visual Basic, Pascal และ Fortran ถ้าเปรียบเป็นภาษาพูด if ก็แปลตรงตัวว่า ถ้า else ก็คือ ถ้าไม่

มีรูปแบบการใช้ดังนี้

if(condition){ 
 statement 1;
 statement 2;...}else{
 statement 1;
 statement 2;...}

Note. condition คือเงื่อนไงที่ต้องการ statement ก็คือคำสั่งในโปรแกรม อาจประกอบด้วยหลายคำสั่ง ถ้าหากมีคำสั่งมากกว่าหนึ่งให้ใส่วงเล็บปีกกา{} ครอบคำสั่งทั้งหมดไว้ แต่ถ้ามีเพียงคำสั่งเดียวไม่ต้องใส่วงเล็บปีกกาก็ได้ ถ้าหากไม่มีคำสั่งใด ๆ ให้ใส่วงเล็บเปล่า หรือใส่เครื่องหมาย ; ไว้ก็ได้

condition เป็นข้อมูลขนิด boolean ซึ่งต้องเป็นจริงหรือเท็จเท่านั้น ถ้าเป็นจริงจะทำคำสั่งใน if แต่ถ้าเป็นเท็จจะทำในคำสั่ง else เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า

ตัวอย่างที่1 โปรแกรมคำนวณเกรด โดยใช้ if

import java.util.Scanner;publicclassGrade2{publicstaticvoid main(String args[]){System.out.print("Input Score : ");Scannerin=newScanner(System.in);int score =in.nextInt();if(score <50)System.out.println("Your Score : F");if(score >=50&& score <60)System.out.println("Your Score : D");if(score >=60&& score <70)System.out.println("Your Score : C");if(score >=70&& score <80)System.out.println("Your Score : B");if(score >=80)System.out.println("Your Score : A");}}

โปรแกรมนี้รับค่าคะแนนมาจากแป้นพิมพ์ เราใช้ if เพื่อตรวจสอบไปแต่ละเกรด จะเห็นว่าเราใช้แต่ if ตามหลัง if มีแค่คำสั่งเดียว ไม่ต้องใส่วงเล็บปีกกาครอบก็ได้ โปรแกรมนี้จะตรวจสอบทุก if นั่นคือตรวจสอบว่าน้อยกว่า 50 ต่อไป ก็ มากกว่า 50 และ น้อยกว่า 60 หรือไม่ และตรวจสอบไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ เกรดถ้าคะแนน น้อยกว่า 50 แล้วปริ้น F ออกมา แต่ก็ต้องตรวจสอบว่าเป็นเกรด D C B หรือ A หรือไม่

ตัวอย่างที่ 2 โปรแกรมคำนวณเกรด โดยใช้ if else

import java.util.Scanner;publicclassGrade3{publicstaticvoid main(String args[]){System.out.print("Input Score : ");Scannerin=newScanner(System.in);int score =in.nextInt();if(score <50)System.out.println("Your score : F");else{if(score <60)System.out.println("Your score : D");else{if(score <70)System.out.println("Your score : C");else{if(score <80)System.out.println("Your score : B");elseSystem.out.println("Your score : A");}}}}}

โปรแกรมนี้เราใช้ if else ตอนแรกก็ตรวจสอบว่าน้อยกว่า 50 หรือไม่ ถ้าใช่ ก็ปริ้น F ออกมา แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไปทำที่ else ใน else ก็ไปตรวจสอบ if ใน else อีกที หรือที่เรียกกันว่า if ซ้อน if นั่นเอง จาก if ซ้อน if เราก็สามารถลดรูปกลายเป็นโปรแกรมที่สามนั่นคือ if else if
1.ตัวอย่างการเขียนโปรแกรมจาวา 2 โปรแกรม
1.โปรแกรมบวกค่าที่อยู่ระหว่าง 1-100 ที่หาร 12 ลงตัว
class Ja_janjira3 //ชื่อคลาสJa_janjira3
{
   public static void main(String args[])//แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
{
      int a=0;//ประกาศตัวแปร a ชนิดตัวเลขมีค่าเท่ากับ0
      int b=0;//ประกาศตัวแปร b ชนิดตัวเลขมีค่าเท่ากับ0
      int c=0;//ประกาศตัวแปร c ชนิดตัวเลขมีค่าเท่ากับ0
      String number=””;//ประกาศตัวแปรnumber ชนิดตัวอักษรค่าเท่ากับ” “
      for(int i=1;i<=100;i++)//คำสั่งวนรอบ กำหนด i เท่ากับ1 ;ให้ i น้อยกว่าหรือเท่ากับ100;ให้ i บวกเพิ่มทีละ1
{
         if((i % 12) == 0) //เงื่อนไข( กำหนดให้ iหาร12 มีค่าเท่ากับ0)
{
            b = c; //ให้bเท่ากับc
            a+=i; //ให้aเท่ากับi
            c++;//ให้cบวกเพิ่มทีละ1
            number+=i+”,”; //ให้numberเท่ากับ i บวก”,”
            System.out.println(i+” + “+b+” = “+a);//แสดงค่า i บวกด้วยค่า b เท่ากับค่า a
         }
      }
      System.out.println(“\r\n”+number+” have “+c+” number\n\ra = “+a); //แสดงค่า r หารด้วยค่าnบวกnumber ตามด้วยตัวแปรhave ต่อด้วยcบวกnumberหารnหารraเท่ากับ a
   }
}

2.โปรแกรมรับค่าอายุ หาปีเกิดเป็น ค.ศ.
import java.io.*; //แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
class Ja_janjira4 //ชื่อคลาสJa_janjira4
{
public static void main( String [] args)throws IOException //แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
{
 BufferedReader stdin = new BufferedReader (new InputStreamReader(System.in)); //แบบตายตัวของโปรแกรมรับค่าและแสดงผล
        int mul=1; //กำหนดตัวแปร mul ชนิดตัวเลข มีค่าเท่ากับ1    
        int check=0;//กำหนดตัวแปร check ชนิดตัวเลข มีค่าเท่ากับ0
        int a; //กำหนดตัวแปร a ชนิดตัวเลข
        String  i; //กำหนดตัวแปร i ชนิดตัวอักษร
        String b; //กำหนดตัวแปร b ชนิดตัวอักษร
do //เริ่มการวนซ้ำ
 {      
       System.out.println(” “); //แสดง ” “
       System.out.print (“Please Enter  Year  Age : ” ); //แสดง”Please Enter  Year  Age : ”
   i=stdin.readLine(); //กำหนดตัวแปร i มีค่าเท่ากับค่าที่รับมา
      check = Integer.parseInt(i); //ให้ค่า i ที่รับมาเป็นชนิดตัวอักษรเท่ากับค่าcheckชนิดตัวเลข
         mul  = 2011 – check; //กำหนดให้ mul เท่ากับ 2011 ลบกับ check
                
      System.out.print (“Birth Year: ” + mul ); //แสดงค่า”Birth Year: ” บวกด้วนค่า mul
      System.out.println(” “); //แสดง ” “
      System.out.print ( “Do you want to Continue. If say yes  Press 1 : ”  );//แสดง”Do you want to Continue. If say yes  Press 1 : “
   b=stdin.readLine(); //กำหนดตัวแปร b มีค่าเท่ากับค่าที่รับมา
   a=Integer.parseInt(b); //ให้ค่า b ที่รับมาเป็นชนิดตัวอักษรเท่ากับค่าaชนิดตัวเลข
}
while ( a == 1);  //จบการวนซ้ำ (กำหนดให้aมีค่าเท่ากันกับ 1
}
}

2.การใช้คำสั่ง System.out.println ใช้อย่างไรยกตัวอย่าง

การแสดงผลด้วยเมธอด System.out.println() และ System.out.print()

การแสดงผลข้อมูลที่ง่ายที่สุดในการเขียนโปรแกรมภาษา Java คุณสามารถใช้เมธอด System.out.println() และเมธอด System.out.print() เพื่อแสดงข้อความ ตัวเลข และค่าอื่นได้ สิ่งที่แตกต่างกันคือเมธอด System.out.println() จะขึ้นบรรทัดใหม่ด้วย มาดูตัวอย่างเพิ่มเติม

publicclassOutput{
publicstaticvoid main (String[] atgs){

System.out.print("MateoCode");
System.out.println(" Tutorials");

int number =10;
System.out.println("Number is "+ number);

float f =43.12f;
System.out.println("Floating number is "+ f);

boolean a =true;
System.out.println(a);
}
}

ในโปรแกรมเป็นการแสดงผลโดยการใช้เมธอดทั้งสองในการแสดงข้อมูลประเภทต่างๆ คุณจะเห็นว่าหลังจากแสดงคำว่า "MateoCode" โปรแกรมไม่ขึ้นบรรทัดใหม่เพราะว่าการทำงานของเมธอด System.out.print() ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ดังนี้

MateoCode Tutorials
Number is 10
Floating number is 43.12
true
 3.การใช้คำสั่ง if ของคำสั่งจาวา

ใน

การใช้ if, if else และ if else if ในภาษาจาวาโดยทั่วไป เป็นการใช้เพื่อให้โปรแกรมตัดสินใจ เหมือนกับ if-then-else ใน Visual Basic, Pascal และ Fortran ถ้าเปรียบเป็นภาษาพูด if ก็แปลตรงตัวว่า ถ้า else ก็คือ ถ้าไม่

มีรูปแบบการใช้ดังนี้

if(condition){ 
 statement 1;
 statement 2;...}else{
 statement 1;
 statement 2;...}

Note. condition คือเงื่อนไงที่ต้องการ statement ก็คือคำสั่งในโปรแกรม อาจประกอบด้วยหลายคำสั่ง ถ้าหากมีคำสั่งมากกว่าหนึ่งให้ใส่วงเล็บปีกกา{} ครอบคำสั่งทั้งหมดไว้ แต่ถ้ามีเพียงคำสั่งเดียวไม่ต้องใส่วงเล็บปีกกาก็ได้ ถ้าหากไม่มีคำสั่งใด ๆ ให้ใส่วงเล็บเปล่า หรือใส่เครื่องหมาย ; ไว้ก็ได้

condition เป็นข้อมูลขนิด boolean ซึ่งต้องเป็นจริงหรือเท็จเท่านั้น ถ้าเป็นจริงจะทำคำสั่งใน if แต่ถ้าเป็นเท็จจะทำในคำสั่ง else เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า

ตัวอย่างที่1 โปรแกรมคำนวณเกรด โดยใช้ if

import java.util.Scanner;publicclassGrade2{publicstaticvoid main(String args[]){System.out.print("Input Score : ");Scannerin=newScanner(System.in);int score =in.nextInt();if(score <50)System.out.println("Your Score : F");if(score >=50&& score <60)System.out.println("Your Score : D");if(score >=60&& score <70)System.out.println("Your Score : C");if(score >=70&& score <80)System.out.println("Your Score : B");if(score >=80)System.out.println("Your Score : A");}}

โปรแกรมนี้รับค่าคะแนนมาจากแป้นพิมพ์ เราใช้ if เพื่อตรวจสอบไปแต่ละเกรด จะเห็นว่าเราใช้แต่ if ตามหลัง if มีแค่คำสั่งเดียว ไม่ต้องใส่วงเล็บปีกกาครอบก็ได้ โปรแกรมนี้จะตรวจสอบทุก if นั่นคือตรวจสอบว่าน้อยกว่า 50 ต่อไป ก็ มากกว่า 50 และ น้อยกว่า 60 หรือไม่ และตรวจสอบไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ เกรดถ้าคะแนน น้อยกว่า 50 แล้วปริ้น F ออกมา แต่ก็ต้องตรวจสอบว่าเป็นเกรด D C B หรือ A หรือไม่

ตัวอย่างที่ 2 โปรแกรมคำนวณเกรด โดยใช้ if else

import java.util.Scanner;publicclassGrade3{publicstaticvoid main(String args[]){System.out.print("Input Score : ");Scannerin=newScanner(System.in);int score =in.nextInt();if(score <50)System.out.println("Your score : F");else{if(score <60)System.out.println("Your score : D");else{if(score <70)System.out.println("Your score : C");else{if(score <80)System.out.println("Your score : B");elseSystem.out.println("Your score : A");}}}}}

โปรแกรมนี้เราใช้ if else ตอนแรกก็ตรวจสอบว่าน้อยกว่า 50 หรือไม่ ถ้าใช่ ก็ปริ้น F ออกมา แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไปทำที่ else ใน else ก็ไปตรวจสอบ if ใน else อีกที หรือที่เรียกกันว่า if ซ้อน if นั่นเอง จาก if ซ้อน if เราก็สามารถลดรูปกลายเป็นโปรแกรมที่สามนั่นคือ if else if

ความคิดเห็น